เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน

เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน

เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน : Ep 1 สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการทำเอกสาร

เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ 3 ปีก่อน จากการที่ผมเสริช Google เกี่ยวกับทหารอเมริกัน แล้วเสริชๆดูไปเรื่อยๆจนมันลิ้งไปสู่เวป official ของทหารบกอเมริกา พบกับโปรแกรมหนึ่งที่ชื่อว่า MAVNI โดยโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาเพื่อรับสมัครคนที่ไม่ได้เป็น American citizen หรือ Green card holder แต่อยากจะเป็นทหารเพื่อแลกกับการเป็น Citizen และสวัสดิการต่างๆที่เหมือนกับทหารอเมริกันทั้งหมด โดยทางโปรแกรมเปิดรับสมัครคนที่ถือ Visa ตามที่กำหนด และพำนักอยู่ในอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย 2 ปีขึ้นไป และสามาถพูดภาษาตามที่ทางการกำหนดได้ หนึ่งในนั้นคือภาษาไทย

ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคือ เห้ยนี่เราสามารถสมัครเป็นทหารบกอเมริกันได้ด้วยนิหว่า(แต่ตอนนั้นยังอยู่อเมริกาไม่ครบ 2 ปี) จึง Email ไปสอบถามรายละเอียดต่างๆกับทาง Official ซึ่งเค้าก็ตอบกลับมาโดยแนะนำให้ผมไปคุยกับ Army recruiter คนหนึ่งที่ประจำการอยู่ US Army Recruiting Station แห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านผมมาก

** ก็ Email นัดกับทางผู้รับสมัครทหารว่าเราจะเข้าไปหาเค้านะ ต้องเตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง บลาๆๆ

จนถึงวันที่ผมไปถึง station ทำให้ผมได้เจอกับ จ่ามาร์ค (นามสมมุติ) จ่ามาร์คบอกผมเป็นคนไทยคนแรกของ Station ที่มาสมัคร จ่ามาร์คเป็นคนเกาหลีโดยกำเนิดที่อพยพมาอยู่อเมริกาตอนมัธยมต้น ณ เวลาที่ผมเจอเค้า จ่ามาร์คเป็นทหารประจำมาทั้งหมด 12 ปีแล้ว ผมกับจ่ามาร์คนี่เราคุยกันหลายเรื่องอยู่ เพราะผมต้องติดต่อเรื่องต่างๆกับเค้าอยู่กับเค้าเป็นปี จ่ามาร์คจึงกลายเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของผมในทางการสมัครเป็นทหาร จ่ามาร์คบอกผมว่า ตอนจ่ามาแรกๆ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ไปสั่งเบอเกอร์ต้องบอกพนักงานว่า Two number one.(เอาออเดอร์เลขที่ 1 2 ชิ้น) อะไรประมาณนั้น ภาษาอังกฤษของจ่ามาร์คดีขึ้นมากหลังจากสมัครเข้าเป็นทหาร จ่ามาร์คบอกผมว่าภาษาอังกฤษผมโอเคแล้ว เดี๋ยวพอเข้าไปเป็นทหารปุบ ออกมาพูดคล่องได้เหมือนคนอเมริกันเลย เพราะสภาพแวดล้อมต่างๆมันบังคับ

วันแรกที่ผมไปถึงสถานีครับ จ่ามาร์คบอกให้ผมลองทำ Pretest ที่จะใช้สำหรับการสอบเป็นทหารดู ผมไม่รู้ว่าจ่าเค้าจะให้ผมลองทำดู ผมจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลย การสอบ Pretest รอบแรกของผมได้คะแนน 8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 99 คะแนน 555++++++ จ่าหยิบใบ Transcript ผมขึ้นมาดูแล้วคงคิดในใจว่าผมเรียนจบวิศวมาได้ยังไง(เดี๋ยวผมจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสอบต่างๆในตอนหน้า)

เนื่องจากผมยังอยู่อเมริกาไม่ครบ 2 ปี ผมจึงยังไม่สามารถเริ่มขั้นตอนอะไรได้เลย ณ เวลานั้นที่ผมไปเจอจ่ามาร์ค จ่ามาร์คจึงให้เอกสารต่างๆผมมากรอก รวมถึงตรวจสอบเอกสารต่างๆที่ผมจะต้องใช้ในการสมัครทหาร ถ้าผมจำไม่ผิดเอกสารต่างๆก็เป็นเอกสารพื้นๆทั่วไป เช่น Passportที่มีหน้าVisaของอเมริกาอยู่ในเล่ม, I-20 เอกสารว่าเราเรียนอยู่ในอเมริกาจริง, I-94 เอกสารที่ระบุว่าเราเข้าออกอเมริกากี่ครั้ง ครั้งละกี่วัน เพราะตามเงื่อนไขผมห้ามออกจากอเมริกาเกิน 60 วัน หรือ 90 วันนี่แหละ จำไม่ได้ ถึงจะสมัครได้

และเวลาก็ผ่านไปอีกหลายเดือนจนครบ 2 ปี ผมกลับไปหาจ่ามาร์คอีกครั้งเพื่อเริ่มขั้นตอนการสมัครเป็นทหารบกอเมริกัน ในครั้งนี้ผมได้พบเจอกับ จ่ายักษ์ (นามสมมุติ)  จ่ายักษ์เป็นคนที่ 2 ที่ผมติดต่อด้วยมากที่สุด จ่ายักษ์เป็นแอฟริกันอเมริกัน ตัวสูงไม่ต่ำกว่า 185 ซม รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาโคตรนิ่ง นิ่งจนน่ากลัว เวลาพูดก็พูดนิ่งๆ กับจ่ายักษ์นี่ผมบอกตรงๆเลยครับ แรกๆผมกลัวเค้า จ่ายักษ์นี่เป็นคนที่ผมไม่อยากจะติดต่อกับเค้ามากที่สุด แทบทุกครั้งที่ผมต้องถูกเรียกเข้าไปคุยกับจ่ายักษ์ผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้ง แต่ตอนหลังๆเมื่อเราคุ้นเคยกันระดับหนึ่ง จ่ายักษ์จะเรียกชื่อผมว่า โรมมี่(Rommy) เนื่องจากนามสกุลผมคือ รมยา**(Romya**) จ่ายักษ์บอกชื่อนี่เรียกง่ายกว่า จ่ายักษ์น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งใน Station นี้ เนื่องจากทหารคนอื่นๆเค้ามีโต๊ะทำงานอยู่รวมๆกัน แต่จ่ายักษ์มีห้องทำงานส่วนตัวใน Station นี้

ครั้งแรกที่ผมพบกับจ่ายักษ์ครับ โดนจ่ายักษ์แกล้ง จ่ายักษ์เรียกผมเข้าไปในห้องออฟฟิศของเค้าเพื่อตรวจสอบเอกสารต่างๆ รวมถึงถามข้อมูลต่างๆ ข้อมูลต่างๆตั่งแต่เรื่องพื้นๆเช่น ผมเคยติดยาหรือใช้ยาเสพติดมาก่อนรึปล่าว ไปจนถึงผมมีไข่ทั้งสองฟองเท่ากันรึปล่าวหรือปกติรึปล่าวอะไรสักอย่างจำไม่ได้ 555+++ อันนี้เรื่องจริง แม่เจ้า ผมยังจำได้ดีว่าผมแปลไม่ออกจนต้องเปิด Google เจอคำถามนี้ผมไม่รู้จะตอบยังไงผมเลยบอกเค้าไปว่าของผมปกติเหมือนของคนอื่นๆ

มาถึงคำถามที่ทำให้ผมโดนจ่ายักษ์แกล้ง เป็นคำถามที่ถามผมว่าผมเป็นตาบอดสีหรือไม่ ผมก็ตอบไปว่าไม่ จ่ายักษ์จึงชี้ไปที่สิ่งของสิ่งหนึ่งบนโต๊ะของจ่ายักษ์ คือมันเป็นสีที่ก่ำกึ่งระหว่างสีเขียวและสีเหลือง

ผม : สีเหลือง

จ่ายักษ์ : ไม่ใช่ นี่มันสีเขียว

ผม : อืม ไม่รู้สิ ผมคิดว่ามันดูเหมือนสีเหลือง

เท่านั้นแหละครับ ทันใดนั้นครับ จ่ายักษ์โมโหสุดขีด ลุกขึ้นตบโต๊ะดังปั้ง เดินออกไปตะโกนเรียกจ่ามาร์คเสียงโคตรดัง แล้วเรียกให้ผมเดินไปหาแก ผมเดินไปเห็นจ่ามาร์ครีบวิ่งมาหาแกให้ไวเหมือนกัน 555+++

จ่ายักษ์ตะโกน : มาร์คมึงเอาไอทึ่มที่ไหนมาสมัครทหารที่ station ของกู กูบอกว่านี่มันสีเขียว มันก็ยังเถียงกับกูว่านี่สีเหลือง!! (และอื่นๆที่ผมจำไม่ได้)
พร้อมกับปาสิ่งของสิ่งนั้นลงพื้นอย่างแรง จนมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆไปคนละทิศละทาง ผมจำเหตุการณ์ได้แม่นเลย

ส่วนผมหรอครับ ยืนเอ๋อแดก คิดอยู่ในใจว่า นี่กูพาตัวเองมาเจออะไรวะเนี่ย กูกลับบ้านเลยดีไหม คือตอนนั้นแบบชิบหายละกู ตอบผิดชีวิตเปลี่ยน ทำอะไรไม่ถูกเลย เจอทหารตัวสูงใหญ่ หน้าตาหน้ากลัวตะโกนใส่

ยังไม่ทันที่ผมจะกระดิกไปไหน สิ้นเสียงแหกปากของจ่ายักษ์ที่ตะโกนเสียงอย่างดังจนทุกคนใน Station ได้ยิน จ่าคงหันมาเห็นผมทำหน้าตาไม่สู้ดีนัก จ่าก็ปล่อยขำออกมาก๊ากใหญ่พร้อมกับก้มตัวลงเอามือกุมไปที่ท้อง หัวเราะแบบสะใจมากแล้วบอกว่า “ฉันล้อเล่น”…..ครับ

ปล. จ่ายักษ์ที่ว่าโหดๆ มีครั้งหนึ่งผมไปที่ Station เจอทหารสัญญาบัตรมียศเป็นดาว ตัวเล็กๆเดินเหมือนกำลังตรวจสถานที่อยู่ ผมเห็นจ่ายักษ์ตัวสูงใหญ่ เดินตามหลังทหารยศดาว จ่ายักษ์ทำตัวเจี๋ยมเจียมก้มหลังเล็กน้อยมือสองข้างกุมไข่ อันนี้ผมจำได้แม่นเลย 555++++++

หลังจากผมยื่นเอกสารทั้งหมดที่เค้าต้องการแล้ว ขั้นต่อไปคือจ่ามาร์คส่งเอกสารของผมทั้งหมดต่อไปให้ทาง USCIS ตรวจสอบ(ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับน่าจะ USCIS) ว่าเอกสารของผมถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่ทางทหารต้องการหรือไม่ ขั้นตอนนี้เนี่ย ตามปกติจะใช้เวลาในการตรวจสอบราวๆ 1 เดือน แต่เอกสารของผมไม่รู้ไปตกหล่นไปอยู่ตรงไหน ผ่านไป 2-3 เดือนก็แล้วเอกสารของผมยังไม่ถูกตอบกลับมา ผมจึงคิดว่าผมควรจะทำอะไรสักอย่าง

ช่วงนั้นผมไปเสริชหาข้อมูลต่างๆ จนผมไปเจอ Facebook ของผู้หญิงท่านหนึ่ง ผู้หญิงท่านนี้เค้าเป็นใคร ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ผมจำได้ว่าผมรู้ว่าเค้าจะสามารถทำให้เอกสารของผมมันสำเร็จได้อย่างแน่นอน ผมทักเฟสไปหาเค้า บอกเค้าถึงสถานะการที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้นว่าผมรอมา 3 เดือนแล้ว เอกสารผมยังไม่ส่งกลับมาสักที ผมจำได้แค่ประโยคเดียวที่ท่านผู้หญิงคนนั้นตอบผมกลับมาคือ….”เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้” อย่างเถื่อน อ่านเสร็จตอนนั้นใจวูบวาบเลย คิดอยู่ในใจว่าไม่น่าติดต่อท่านเลย คิดว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างขึ้นแน่ๆ แต่พูดไปแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว

** คนมีอำนาจแค่พูดประโยคเดียวเราก็รู้สึกได้แล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น

เวลาผ่านไปไม่กี่วันหลังจากที่ผมติดต่อผู้หญิงท่านนั้น จ่ามาร์คโทรมาหาผมครับ!!!!! โทรมาหาผมประโยคแรกที่ถามผมคือ “ผมไปคุยกับใครมา ทำไมถึงมีคนจากข้างบนโทรลงมาที่ Station ผมไม่เชื่อใจเค้าใช่ไหม ไม่เชื่อใจให้เค้าดำเนินการให้ใช่ไหม ผมอยากจะเปลี่ยน Recruiter คนใหม่ไหม เค้าจะดำเนินการให้” แม่เจ้าาาา ท่านผู้หญิงของท่านแรงจริง โทรกริ้งเดียวสั่นสะเทือนทั้ง Recruiting Station ตอนนั้นผมบอกกับจ่ามาร์คว่า”ผมเชื่อใจจ่ามาร์ค ผมจะให้จ่ามาร์คเป็น Recruiter ของผมต่อไป ผู้หญิงคนนั้นผมเห็นเค้าใน Facebook ผมคิดว่าเค้าน่าจะตามเรื่องเอกสารของผมได้ ผมเลยติดต่อเค้าไปเฉยๆ ผมขอโทษ” ถ้าจำไม่ผิดจ่ามาร์คบอกกลับผมมาว่า “ตอนนี้รอเอกสารอยู่ ถ้าได้เอกสารมาเมื่อไหร่เค้าจะรีบนัดวันสอบและตรวจร่างกายให้ผมทันที”

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปสักพัก ท่านผู้หญิงก็ข้อความเฟสบุ๊คกลับมาหาผม พร้อมกับบอกว่า จัดการให้แล้ว พบเอกสารผมไปตกหล่นอยู่ที่ Los Angeles Recruiting Battalion เอกสารจึงไปไม่ถึง USCIS สักที!! แม่เจ้านี่ถ้าผมไม่ได้ติดต่อกับท่านผู้หญิงท่านนั้นเอกสารของผมเมื่อไหร่จะเสร็จ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆไปไม่นานเท่าไหร่ผมก็ได้ข่าวดีจากจ่ามาร์คว่าเอกสารของผมส่งกลับมาที่ Station แล้ว ให้ผมเข้าไปพบกับจ่ามาร์คเพื่อที่จะนัดวันเข้าไปสอบ สรุปTimeline ผมรอเอกสารเกือบ 4 เดือน ทั้งๆที่ควรจะรอแค่ 1 เดือน

เป็นบทเรียนชีวิตครับ อย่าทำอะไรข้ามหัว แต่ถ้าวันนั้นผมไม่ทำข้ามหัว จะมีใครรู้บ้างไหมว่าเอกสารผมตกหล่นอยู่ที่ LA Recruiting Battalion. แล้วผมต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่

ในวันที่ผมไปพบกับจ่ามาร์ค เพื่อนัดวันสอบและตรวจร่างกาย ผมก็ถามจ่ามาร์คว่าเนี่ยนิ้วก้อยผมมันผิดรูปร่างนิดหน่อย เนื่องจากผมเคยปั่นจักรยานแล้วล้ม ทำให้นิ้วก้อยผมกระดูกเคลื่อนหลุดออกจากข้อจนต้องไปผ่าตัด พอผ่าตัดเสร็จแล้วมันก็ไม่เหมือนเดิม จ่ามาร์คดูนิ้วก้อย จับนิ้วก้อยผมดู เสร็จแล้วก็บอกผมว่า ผมต้องกลับไปเอาเอกสารทุกอย่างจากทุกโรงพยาบาลที่ผมเข้าในระหว่างที่ผมรักษานิ้วก้อย เพื่อให้ทางทหารตรวจสอบดูว่าสภาวะทางร่างกายนี้จะไม่เป็นปัญหาต่อการเป็นทหาร

ตอนที่ผมไปหาหมอเรื่องนิ้วก้อยผิดรูปเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ วันแรกที่เกิดขึ้นผมต้องไปเข้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งทางโรงพยาบาลนั้นก็ส่งเรื่องต่อไปยังหมอเฉพาะทางทางมือโดยเฉพาะเพื่อตรวจสอบและรับการผ่าตัด จึงทำให้ผมต้องไปขอเอกสารจาก 2 โรงพยาบาล การไปขอเอกสารจากโรงพยาบาลแรกนั้นไม่มีปัญหาอะไร จุดที่อยากจะเขียนคือการขอเอกสารจากหมอเฉพาะทาง มันจะมีเจ๊แม็กซิกันใส่แว่นคนหนึ่งที่อยู่ที่เค้าเตอร์ อารมณ์จะบูดตลอดเวลาตั่งแต่สมัยที่ผมไปรับการรักษาซึ่งผมต้องไปติดต่อหลายรอบเพื่อดูอาการต่างๆหลังผ่าตัดด้วย พอผมบอกเจ๊ว่าผมจะขอเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับการรักษาเพื่อที่จะนำไปยื่นสมัครทหาร ผมสัมผัสได้ถึงการปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมากๆอย่างเห็นได้ชัด อย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากเจ๊มาก่อน ทั้งการยิ้มแย้มต่างๆ ทั้งข้อความที่เจ๊นำไปบอกหมอแล้วผมได้ยินว่า “มีไอหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาขอเอกสารเพื่อจะไปสมัครรับใช้ชาติ” คือผมสัมผัสได้ถึงคำว่า Respect อะครับ การเป็นทหารของประเทศนี้มันชั่งมีเกียรติซะจริงๆ

หลังจากที่ผมรวบรวมเอกสารทั้งหมดจากทั้ง 2 โรงพยาบาลได้แล้ว ผมจึงกลับไปหาจ่ามาร์คอีกครั้ง โดยขั้นตอนการตรวจเอกสารทางการแพทย์นี้ผมรู้มาว่าต้องใช้เวลาในการตรวจสอบราวๆ 1 เดือน ผมจึงบอกกับจ่ามาร์คว่าผมจะกลับไปเที่ยวไทย 1 เดือนนะ ในระหว่างรอเอกสาร เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมของมหาลัยพอดีด้วย

ในช่วงระหว่าง 1 เดือนกว่าๆที่ผมกลับไปเที่ยวไทยครับ เชื่อไหมครับ ผมกินอาหารเยอะมาก ผมอยากกินร้านไหนผมกินหมด ปกติผมจะออกกำลังกายเป็นประจำ น้ำหนักผมจะคงที่อยู่ที่ 62 กิโลตลอดเวลา ภายในเดือนกว่าๆที่ผมอยู่ไทยไม่ได้ออกกำลังกายน้ำหนักผมขึ้นมา 10 กิโล เป็น 72-74 กิโล ทุกๆเช้าที่ผมตื่นนอน ผมจะเจ็บปวดฝ่าเท้ามากๆเวลาเดิน เพราะว่าน้ำหนักผมขึ้นอย่างฉับพลันมากเกินไป รวมถึงผิวหนังที่แตกไปทั่วตัว 555++++

เวลาก็ผ่านไป 1 เดือน ผมกลับมาที่อเมริกา ไปหาจ่ามาร์คที่Station สิ่งแรกที่จ่ามาร์คทำหลังจากทักทายกันคือ จ่ามาร์คพาผมไปวัดน้ำหนักครับ…..ผมก็รู้มาว่าส่วนสูงกับน้ำหนักของผมต้องได้มาตรฐานตามที่ทางการทหารกำหนดไว้ ถ้าน้ำหนักผมเกินผมต้องไปลดน้ำหนัก แต่โชคดียังไม่เกินครับ อิอิ

แล้วก็ผมเอาแสงโสมมาฝากจ่ามาร์ค 2 แบน จ่ามาร์คบอกผมว่าเค้ารับไว้ไม่ได้ เพราะมันเหมือนเป็นการรับสินบน เค้าไม่สามารถรับได้มันผิดกฎ ส่วนข่าวดีคือเอกสารทางการแพทย์ของผมผ่านเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือนัดวันสอบครับ

** ตรงกลางคือจ่ามาร์ค (นามสมมุติ) ขวาสุดเสื้อแดงนั่นคือผมเอง

เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน : Ep 2. สอบสัมภาษณ์วัดระดับภาษาไทย

ก่อนอื่นเลยที่ผมสามารถสมัครเข้าโปรแกรมนี้ได้เพราะว่าผมสามารถพูดภาษาที่ทางการทหารนั้นต้องการ นั่นคือภาษาไทย ทางการทหารจึงต้องทำการตรวจสอบว่าผู้สมัครสามารถพูดภาษาต่างๆที่กำหนดได้จริงหรือไม่ ผู้สมัครทุกคนจึงต้องสอบสัมภาษณ์ภาษาที่ตนเองสามารถพูดได้กับผู้สอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

ในวันสอบสัมภาษณ์นั้นผมถูกนัดให้ไปที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งและถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในรถ จอดรถรออยู่หน้าประตูรั้วทางเข้าเท่านั้นจนกว่าจ่ามาร์คจะมาถึงและเป็นคนพาผมเข้าไปในค่ายทหาร เมื่อเข้าไปแล้วผมถูกพาไปในห้องห้องหนึ่ง เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีโทรศัพท์บ้านหนึ่งเครื่องตั้งวางไว้บนโต๊ะ ผมถูกสั่งให้นั่งรอในห้องนั้นจนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ จะมีคนโทรเข้ามาในโทรศัพท์เครื่องนี้ ให้ผมรับโทรศัพท์และพูดคุยกับปลายสาย

ปลายสายผมเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปี ฟังจากสำเนียงแล้วน่าจะเป็นคนไทยที่เกิดหรือเติบโตในอเมริกา เนื่องจากพูดภาษาไทยแบบมีสำเนียง ในช่วงแรกเราตอบโต้กันเป็นภาษาอังกฤษ เป็นการอธิบายกฎต่างๆในการสอบสัมภาษณ์ เช่น มีการอัดเสียงระหว่างสอบ รวมถึงให้ผมยืนยันตัวเองด้วยการสะกดชื่อและนามสกุลตัวเองเป็นภาษาอังกฤษทีละตัวอักษร ก่อนที่ปลายสายจะพูดขึ้นมาเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีค่ะ”……”สวัสดีครับ” ผมตอบกลับ

การสัมภาษณ์ทั้งหมดใช้เวลาราวๆ 45 นาที นอกเหนือจากการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆเป็นภาษาไทยแล้ว มีการสมมุติเหตุการณ์ขึ้นมา เพื่อให้ผมพูดตอบโต้กับทางผู้สัมภาษณ์ เหตุการณ์สมมุติที่ผมได้รับมีทั้งหมดสองเหตุการณ์ แต่ผมจำได้แค่เหตุการณ์เดียว

เหตุการณ์สมมุติของผมคือ “คุณกานต์ค่ะ ให้คุณกานต์จินตนาการว่า คุณอยู่ในอพาร์ตเม้นแห่งหนึ่ง ห้องอพาร์ตเม้นของคุณมีระเบียงยื่นออกไปข้างนอก มีผู้เช่าอพาร์ตเม้นท่านอื่นที่อยู่ห้องเหนือขึ้นไปด้านบนของห้องคุณกานต์ ซึ่งมีระเบียงยื่นออกมาเช่นกัน ผู้เช่าอพาร์ทเม้นท่านนี้จะรดน้ำต้นไม้ทุกวัน น้ำรดต้นไม้จะไหลลงมาสู่ระเบียงห้องของคุณกานต์ตลอด คุณกานต์จะมีวิธีพูดคุยกับผู้เช่าอพาร์ทเม้นท่านนี้อย่างไร กับปัญหาที่เกิดขึ้น” นี่คือเหตุการณ์สมมุติที่ผมได้รับครับ ผมจำได้ไม่เปะๆ แต่มันประมาณนี้แหละ การสอบสำภาษณ์นี้คือผมต้องพูดคุยตอบโต้กับผู้สัมภาษณ์ โดยผู้สัมภาษณ์จะเล่นบทเป็นผู้เช่าอพาร์ทเม้นที่รดน้ำต้นไม้ไหลมาสู่ห้องของผม

** หลังจากสัมภาษณ์เสร็จสิ้น ประโยคสุดท้ายที่ผมได้รับจากปลายสายคือ “ขอให้คุณกานต์ประสบความสำเร็จกับอาชีพทหารตามที่คุณกานต์ต้องการนะคะ”

สำหรับภาษาไทยสำคัญอย่างไรต่อการเป็นทหารอเมริกา หลายๆคนคงจะรู้อยู่แล้วเนื่องจากอเมริกาส่งทหารไปตามประเทศต่างๆบ่อยมากๆ ถ้าผมสามารถพูดภาษาไทยได้ หลังจากผมเข้าไปเป็นทหารแล้ว ผมสามารถทำเรื่องสอบภาษาไทย ได้เงินค่าภาษาเดือนละ 300$ ต่อเดือน/ภาษา สิ่งที่ผมคิดไว้คือ ผมทำเรื่องสอบภาษาไทยและภาษาลาว 2 ภาษา ผมจะได้รับเงินพิเศษ 600$ ต่อเดือน สามารถทำเรื่องได้ถึง 3 ภาษา เท่ากับว่าจะได้เงินพิเศษ 900$ ต่อเดือน

Ep หน้าจะเป็นเรื่องของการสอบ ASVAB หรือ Armed Services Vocational Aptitude Battery เป็นข้อสอบที่สอบเพื่อใช้คะแนนไปเลือกอาชีพในกองทัพ มีทั้งหมด 9 วิชา ประกอบไปด้วย เลข ภาษาอังกฤษ ไฟฟ้า เครื่องมือช่าง เครื่องกล วิทยาศาสตร์ และ รูปภาพ เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อในตอนหน้า เพราะไอข้อสอบ ASVAB นี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบว่าผมสอบผ่านแต่ไม่ผ่าน

เหตุผลที่ผมเชื่อว่าผมจะสอบภาษาลาวได้ด้วยเพราะเมื่อสมัยหลายปีก่อน ตอนผมอายุราวๆสัก 19 ปี วังเวียงยังไม่เป็นที่รู้จักเหมือนทุกวันนี้ ฮ่าๆๆ ผมเคยไปแบกเป้คนเดียวอยู่ในลาวเกือบเดือน ทำให้ผมรู้ว่าภาษาไทยและลาวคล้ายกันมากๆ ผมสามารถอ่านภาษาลาวออกฟังภาษาลาวบางส่วนเข้าใจ ก็คงเหมือนคนลาวที่เข้าใจภาษาไทย และอาจจะเพราะผมได้คลุกคลีกับคนลาวจำนวนมากในช่วงที่ผมได้ไปเที่ยวตอนนั้น ผมได้เพื่อนเป็นคนลาวที่เจอกันที่ผับชื่อ The Moon ผมไปนั่งกินเบียร์คนเดียว เดินไปเข้าห้องน้ำ มีคนลาวมายืนฉี่ข้างๆกันหันมาทัก “อ้าย อ้าย อ้ายหน้าตาเหมือนโต ซิลลี่ฟูลเลย” ตอนนั้นผมไว้หนวดไว้เครา เลยได้พูดคุยกัน พอเค้ารู้ผมมาเที่ยวคนเดียว เค้าเลยชวนผมไปนั่งกินเบียร์ด้วย แล้วก็นัดไปเที่ยวผับด้วยกันมาตลอด 3-4 คืนติดกัน ก่อนที่ผมจะไปเที่ยวที่อื่นต่อ ผมเป็นวัยรุ่นไทยคนเดียวที่รายล้อมไปด้วยวัยรุ่นลาวเกือบสิบคน เหมือนผมเป็นส่วนหนึ่งในแก๊งนี้ จนไม่มีใครเชื่อว่าผมเป็นคนไทยเพราะสมัยก่อนแทบไม่มีคนไทยไปเที่ยวเลย สาวลาวถึงกับบอกให้ผมสาบานต่อหน้าดวงไฟ ทุกวันนี้ยังคิดอยู่ว่าทำไมต้องให้สาบานต่อหน้าหลอดไฟนีออนหน้าบ้านคน ถ้าเล่าเรื่องที่ลาวนี่มีเรื่องเล่าเยอะมาก เพราะมีความทรงจำดีและประสบการณ์ดีๆที่ยังจำได้อยู่เยอะ

** ปล. ไม่มีรูปช่วงสอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นะครับ ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ เลยเอารูปที่ผมถ่ายกับเพื่อนๆชาวลาวเมื่อหลายปีก่อนมาลงแทน ตรงกลางคือผมเองครับ

เหตุผลที่ผมอยากสมัครเป็นทหารอเมริกัน เพราะผมอยากได้ประสบการณ์ชีวิตครับ ตอนนั้นผมอายุราวๆ 23 ปี ผมอยากได้ประสบการณ์การเป็นทหารอเมริกา ผมอยากรู้ว่าชีวิตทหารอเมริกาเป็นอย่างไร ผมกะว่าจะเป็นแค่ 4 ปี(1 รอบสัญญา) แล้วผมก็อาจจะไปทำอย่างอื่น หรือถ้าชอบก็จะเป็นต่อยาวๆ

ส่วนเป็นทหารอเมริกานั้นดีอย่างไร ทหารที่อเมริกาเป็นทหารอาชีพ เพราะเป็นทหารที่มาจากการรับสมัครไม่ใช่มาจากการเกณฑ์ทหาร ผมวางแผนอนาคตการเป็นทหารของผมไว้ว่าผมจะเข้าไปเป็นทหารช่างซ่อมเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากคะแนนของผมสูงมากพอที่จะเลือกอาชีพดีๆที่มีมากมายในสายอาชีพทหาร อาชีพที่ผมสามารถนำมาต่อยอดเมื่อผมออกจากการเป็นทหารได้ รวมถึงผมจะแต่งงานกับแฟนครับ ผมกับแฟนเราจะได้เป็น Citizen ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนด้านเงินเดือนผมจะได้เงินเดือนที่ค่อนข้างจะเยอะ เนื่องจากมีเงินพิเศษและสวัสดิการต่างๆจากการที่ผมมีครอบครัว การที่ผมเข้าไปสมัครทหารผมจะได้ยศเป็น E-4 Specialist เนื่องจากผมจบปริญญาตรีที่เมืองไทยมาแล้ว เป็นทหารสัก 2-3 ปี ผมจะสามารถเลื่อนยศเป็น E-5 Sergeant ได้ ถ้าผมเก่งมากพอ ผมอาจจะขอทำเรื่องต่อไปเป็นทหารยศสัญญาบัตรต่อได้อีก ถ้าผมชอบและจะเป็นทหารต่อ ผมเป็นทหารไป 20 ปี ผมสามารถเกษียณ รับเงินเดือน 50% ไปจนวันตาย และเป็นทหารอเมริกันใน 1 ปี ผมสามารถทำเรื่องลาหยุดได้ 30 วันต่อปี สามารถเก็บไว้ได้เช่น ผมทำงานเป็นทหาร 2 ปี ผมไม่เคยทำเรื่องลาหยุดเลย ถ้าผมจะหยุดผมสามารถหยุดได้ถึง 60 วัน ถ้าจำไม่ผิดสามารถเก็บไว้ได้ถึง 90 วัน (ไม่นับรวมวันลาหยุดปกติ)

ข้อเสียคือการเป็นทหารบกอเมริกันมันไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่อาชีพที่เหมาะสำหรับทุกคน เพราะว่าทุกคนมีโอกาสสูงที่จะต้องถูกส่งไปสู่ War zone ต่างๆทั่วโลก(Deployment) ระยะเวลาแตกต่างกันไประหว่าง 6-18 เดือน ส่วนใหญ่ก็ 1 ปี แต่ผมคิดคำณวนดูแล้วครับ ถ้าเกิดผมเลือกอาชีพที่ดี ไม่ต้องออกไปเสี่ยงตายในสนามรบ ผมก็คงไม่ตายหรอกมั้ง ผมน่าจะเติบโตในอาชีพนี้ได้ ฮ่าๆๆ ข้อเสียอื่นๆก็คงเป็นพวกการที่เราต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยต่างๆ, ความกดดันต่างๆในอาชีพ, เป็นแล้วลาออกไม่ได้จนกว่าจะครบตามสัญญา ถ้าไม่ชอบนี่จบเลย, และอื่นๆอีกมากมาย

** You only live once – เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้แค่ครั้งเดียว อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะฉะนั้นถ้าผมอยากทำ ผมจะทำ

เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน : Ep 3. การผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นในการสอบ ASVAB วิชาการ 9 วิชาสำหรับเลือกอาชีพในสายทหาร

ขออธิบายเกี่ยวกับ ASVAB ก่อนนะครับ ASVAB ย่อมาจาก Armed Services Vocational Aptitude Battery เป็นการสอบความถนัดเกี่ยวกับวิชาการในด้านต่างๆ มีทั้งหมด 9 วิชา เป็นข้อสอบที่ออกมาเพื่อให้เด็กที่จบ High School(ม.6) สามารถทำได้ 1 ข้อมี 4 ช้อยให้เลือก สอบในคอมพิวเตอร์ที่ MEPS (Military Entrance Processing Stations)

อธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับแต่ละวิชา

  1. General Science(GS) – วิทยาศาสตร์ทั่วๆไป เกี่ยวกับโลก อวกาศ ร่างกายมนุษย์ ชิวภาพ (25 ข้อ 11 นาที)
  2. Arithmetic Reasoning(AR) – มีโจทย์คำถามพร้อมตัวเลข ต้องตีโจทย์ให้แตก พร้อมกับนึกสูตรคำณวนให้ออก (30 ข้อ 36 นาที)
  3. Word Knowledge(WK) – ให้คำศัพท์มา 1 คำศัพท์ หาคำศัพท์ที่มีควายหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือไปในทิศทางเดียวกัน (35 ข้อ 11 นาที)
  4. Paragraph Comprehension(PC) – ให้บทความ/เรื่องมา 1 บทความ/เรื่อง ทำความเข้าใจ ให้อ่านแล้วตีความให้ได้ว่าเค้าสื่อว่าอะไร, ถามว่าคำศัพท์คำนี้ในบทความมีความหมายว่าอย่างไร (15 ข้อ 13 นาที)
  5. Mathematics Knowledge(MK) – เลขสมการทั่วๆไป หา X, พื้นที่, สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม, เศษส่วน ยกกำลัง (25 ข้อ 24 นาที)
  6. Electronics Information(EI) – ไฟฟ้า คำณวนค่าต่างๆในแผงวงจร และอื่นๆที่เกี่ยวกับไฟฟ้า (20 ข้อ 9 นาที)
  7. Auto and Shop Information – ความรู้ด้านกลไกต่างๆของเครื่องยนต์ เครื่องมือช่าง (25 ข้อ 11 นาที)
  8. Mechanical Comprehension(MC) – คำณวนเกี่ยวกับหลักกลศาสตร์ (25 ข้อ 19 นาที)
  9. Assembling Objects(AO) – เกี่ยวกับการคล้องจองของรูปภาพในรูปแบบต่างๆ ยึกๆยือๆ ต้องหาภาพที่มันแมตกันให้ได้ (25 ข้อ 15 นาที)

** ทั้งหมด 225 คำถาม ภายในเวลา 2.29 ชม.

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสอบนี้คือคะแนน AFQT เป็นการรวมคะแนนของ WK+PC+AR+MK และที่สำคัญที่สุดในการนับคะแนนใน 4 วิชานี้ คือ WK และ PC ซึ่งเป็นวิชาภาษาอังกฤษทั้ง 2 วิชา ถ้าสามารถทำ 2 วิชานี้ได้คะแนนก็จะได้เยอะ ถ้าทำไม่ได้ คะแนนก็ลดฮวบ ต่อให้ทำ AR+MK ได้เยอะก็ไม่มีค่าอะไรเลย

ส่วนวิชาอื่นๆเป็นการนำคะแนนไปเลือกอาชีพต่างๆในสายทหารตามความถนัดของเรามีตั่งแต่ ทหารราบ, พลปืนใหญ่, พ่อครัว, ช่างซ่อมฮอ, ช่างซ่อมรถถัง, คนขับรถ, นักบัญชี และอื่นๆที่มีมากมายเกือบ 150 อาชีพ

คะแนน AFQT มีคะแนนเต็ม 99 คะแนน คะแนน AFQT ถ้าเป็นคนอเมริกัน ทางการทหารต้องการแค่ 31 คะแนนขึ้นไปในการผ่าน ส่วนผมเป็นคนต่างชาติ ต้องสอบให้ได้ 50 คะแนนขึ้นไปถึงจะผ่านเกณ การสอบจะเป็นแบบนี้ ถ้าเราตอบคำถามได้ คำถามข้อต่อไปจะยากขึ้นคะแนนจะมากขึ้น ถ้าเราตอบคำถามไม่ได้คำถามข้อต่อไปจะง่ายลงคะแนนจะลดลง

สิ่งที่อยากที่สุด เป็นปัญหาที่สุดสำหรับผมมีแค่วิชา Word Knowledge(WK) อย่างเดียวเลยครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่ามันยากยังไง

ตัวอย่างคำถามที่ 1

1. Abyss (หลุมหรือเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นอะไรข้างล่างเลย)
ก. Deep Hole (หลุมลึก)
ข. Officially Permitted (การอนุญาติอย่างเป็นทางการ)
ค. Plane (เครื่องบิน)
ง. Huge (ใหญ่โต)

ถ้าหาคำที่มีความหมายคล้ายๆกันหรือเหมือนกันของ Abyss ก็คือ Deep Hole ถ้ารู้ความหมายของคำถามและบางส่วนของคำตอบก็ดีไป แต่ปัญหาคือ คำศัพท์หลายคำที่ให้มาเป็นคำเดียวๆ เป็นคำที่ผมไม่รู้ความหมาย และไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามันเป็นคำศัพท์ที่มีความหมายว่าอะไรหรือแนวไหน ต่อให้มันเป็นคำง่ายๆเช่น หมา แมว แต่ถ้าผมไม่รู้ว่าหมา หรือ แมว ภาษาอังกฤษมันแปลว่าอะไร มันก็เท่านั้น หรือ ต่อให้ผมรู้ความหมายของ 4 ช้อยทั้งหมด แต่ผมแปลคำว่า Abyss ไม่ออก ก็จบเช่นกัน

ตัวอย่างคำถามที่ 2

2. Theoretical (ตามทฤษฎี)
ก. Academic (วิชาการ)
ข. Extol (ยกย่อง)
ค. Eulogize (ยกย่อง)
ง. Revolutionize (ปฏิวัติ)

ถ้าหาคำที่มีความหมายคล้ายๆกันหรือเหมือนกันของ Theoretical ก็คือ Academic ซึงบอกตรงๆ ผมไม่เคยเห็นคำว่า Theoretical มาก่อน แต่ผมรู้ได้โดยทันทีว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคำว่า Theory แน่นอน หรือคำว่า Revolutionize ที่มาจาก Revolution ส่วน Extol หรือ Eulogize แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นผ่านตาหรือได้ยิน รู้แต่คำว่า Praise ซึ่ง Theoretical มันน่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Academic มากที่สุด

ตัวอย่างคำถามที่ 3

3. Detest (จงเกลียดจงชัง)
ก. Prominent (โดดเด่น)
ข. Dislike intensely (จงเกลียดจงชัง)
ค. Friendly (เป็นมิตร)
ง. Dejected (หดหู,เศร้าใจ)

ถ้าหาคำที่มีความหมายคล้ายๆกันหรือเหมือนกันของ Detest ก็คือ Dislike intensely อย่างข้อนี้นะครับ ผมไม่รู้หรอกบอกตรงๆว่า Detest แปลว่าอะไร อยู่อเมริกามาหลายปีก็เพิ่งเคยเจอคำนี้นี่แหละ แต่ผมสามารถเดาได้จาก รากศัพท์, คำนำหน้าของศัพท์ และ คำท้ายของศัพท์ อะไรประมาณนี้ อย่าง “De” และ “Dis” ถ้ามาอยู่ที่ด้านหน้าของคำศัพท์จะต้องเป็นคำในแง่ลบอย่างแน่นอน ส่วนคำนำหน้า “Pro” เป็นคำที่ให้ความหมายในแง่บวก เท่ากับว่าการเดาของผมจะเหลือแค่ 2 คำตอบ คือ Dislike และ Dejected ต่อให้ผมแปล Detest ไม่ออก โอกาสที่ผมจะตอบข้อนี้ถูกก็เท่ากับ 50/50 อยู่ดี ดีกว่า 25/100

โดยรวมก็ประมาณนี้ครับ ผมเคยเอา List คำศัพท์ให้เพื่อนที่เป็นอเมริกันดู เพื่อนผมยังบอกเลยครับ ว่าคำศัพท์พวกนี้เป็นคำศัพท์ที่คนทั่วๆไปเค้าไม่ใช้กัน หลายๆคำเพื่อนผมยังไม่รู้ความหมายเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะไม่รู้ความหมายเช่นกัน

ส่วน Paragraph Comprehension(PC) พูดตรงๆว่ายากครับ แต่ทำได้ระดับหนึ่ง กังวล แต่ไม่มากเท่าไหร่

Arithmetic Reasoning(AR)+Mathematics Knowledge(MK) ผมจบวิศวมา เรื่องคำณวนต่างๆไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับผมเท่าไหร่ แค่จำสูตรให้ได้ทุกอย่างก็จบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆคือตอนที่สอบ ข้อสอบจำณวนมากต้องคำณวนในกระดาษ ซึ่งบางข้อยากก็ต้องใช้เวลา ปัญหาคือ แต่ละข้อให้เวลาคำณวนน้อยมากๆ มีบางข้อที่ผมกำลังคำณวนในกระดาษอยู่ ในหน้าจอคอมของผมคือถูกล้อคหน้าจอเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากใช้เวลาในการทำโจย์ข้อนั้นๆมากเกินไป เมื่อหน้าจอคอมผมถูกล้อค ผมต้องยกมือให้ผู้คุมสอบเดินมาใส่รหัสเพื่อปลดล้อคหน้าจอให้ ผู้คุมสอบจะบอกผมว่า “ถ้าหน้าจอล้อคอีกครั้งหนึ่ง ผมจะถูกปรับตกทุจริตแล้วนะ” ก็นั่นแหละครับ คิดดู เวลาน้อยยังไม่พอ ต้องมากดดันรีบๆคำณวนให้มันเสร็จๆก่อนที่หน้าจอจะล้อค ซึ่งไม่รู้ว่ามีเวลาต่อข้อกี่นาทีก่อนที่หน้าจอจะล้อค แล้วถ้าล้อค 2 รอบโดนปรับตกทุจริตอีก เป็นอะไรที่กดดันมากๆ บางข้อที่มันยากคิดแล้วคิดอีกมันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องกดคำตอบมั่วๆไปให้มันผ่านไป เพื่อที่หน้าจอจะได้ไม่ล้อค

การสอบ ผมสามารถสอบได้ 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือน เท่ากับว่าผมมีโอกาสทั้งหมด 3 รอบ การสอบทุกครั้งผมจะถูกนัดให้ไปที่ Station แล้วจะมีทหารขับรถพาผมไปที่ MEPS ส่วนมากจ่ามาร์คจะเป็นคนพาผมไป ของทุกอย่างต้องฝากไว้ในตู้ Locker ทั้งหมด

ข้อสอบมีทั้งหมด 9 ชุด แต่ละชุดไม่เหมือนกันสักชุด ผมฝึกโจทย์และอ่านจากหนังสือASVABหลายเล่มที่ผมซื้อมาจาก Amazon

การสอบครั้งที่ 1 ไม่ผ่าน ผมได้คะแนน 42 คะแนน เพราะผมอ่านมาว่าให้ Focus ที่ AR และ MK ทำ WK+PC พอได้ แค่นี้ก็ได้คะแนนเกิน 50 แล้ว ผมเลยมั่ว WK ทุกข้อที่ผมแปลไม่ออก

การสอบครั้งที่ 2 ไม่ผ่าน รอบนี้ผมได้คะแนน 46 คะแนน ผมยังคงใช้แผนเดิมอยู่คือ พยายามทำ AR+MK ให้ได้เยอะๆ PC พอได้พอ WK ชั่งแม่ง

หลังจากรอบนี้ผมเริ่มมาคิดละครับ ว่าแม่งไม่ใช่ละ WK กับ PC เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าเราทำมันไม่ได้ ต่อให้เราได้คะแนนวิชาอื่นๆสูงแค่ไหน มันก็ดึงคะแนนให้เราตกลงฮวบลงมาเลยทีเดียว

ตอนนี้จ่ามาร์คให้ทริคผมมาว่าให้ผมไปอ่านเกี่ยวกับข้อสอบที่ เวปไซเวปหนึ่ง เป็นเวปเกี่ยวกับสอบ ASVAB โดยเฉพาะ โดยย้ำให้ผมอ่านทุกอย่าง และถ้ามีใครถามว่าทำไมผมถึงทำได้มีใครช่วยรึปล่าว ห้ามบอกอย่างเด็ดขาดว่ามีจ่ามาร์คบอกเวปไซนี้มา……….โถ่จ่ามาร์ค ทำไมไม่บอกเวปไซนี้ให้ผมตั่งแต่แรก ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความลับอะไรเลย ถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่า หนังสือแทบทุกเล่มที่ผมอ่าน ไม่มีเล่มไหนสู้เวปไซที่จ่ามาร์คให้มาได้เลย บางเล่มโจทย์ก็ง่ายชิบหาย บางเล่มก็โคตรยาก ยากจนเกินข้อสอบจริงไปไกล

ในการสอบครั้งนี้ผมนั่งรถไปสอบร่วมกันคนอเมริกันคนอื่นๆอีก 4 คน หลังจากสอบเสร็จเราก็มาคุยกันว่าแต่ละคนได้เท่าไหร่ เชื่อไหมครับ ผมได้ 46 ผมได้คะแนนสูงที่สุดในกลุ่ม บางคนยกนิ้วให้ผมแล้วบอกว่า Nice! พร้อมแสดงความยินดีกับผม เพราะพวกเค้าไม่รู้ว่าผมต้องสอบให้ได้ 50 คะแนนขึ้นไปถึงจะผ่าน ไม่ใช่ 31 คะแนนเหมือนพวกเค้า ซึ่งพวกเค้าทั้ง 4 คน ไม่มีใครได้คะแนนเกินกว่า 31 สักคน

** จ่ามาร์คให้กำลังใจผมโดยการบอกผมว่า ครั้งหน้าผมแค่ทำข้อสอบให้ได้มากขึ้นอีก 4 คะแนน ผมก็ผ่านแล้ว

การสอบครั้งที่ 3 ผ่าน ผมได้คะแนนสูงถึง 69 คะแนน ซึ่งแม่งเชี่ยมากๆ เพราะมีกฎในการสอบว่า ในการสอบแต่ละครั้ง ห้ามคะแนนสูงกว่าครั้งสุดท้ายเกิน 20 คะแนน ซึ่งคะแนนของผมสูงเกินกว่า 46 ไป 23 คะแนน ถ้าผมได้ 66 คะแนน ผมก็ผ่านสบายๆแล้ว แต่ผมเสือกได้ 69 คะแนน ปวดใจ เป็นเหตุให้ผมต้องสอบ Confirmation Test อีกรอบเป็นการสอบครั้งที่ 4

(ก่อนสอบรอบนี้ ผมได้ลองทำ Pre-test ที่ Station และได้คะแนนสูงถึง 89 คะแนน เพียงเพราะมันเป็นข้อสอบเดิมที่ผมเคยสอบครั้งก่อนและผมจำคำศัพท์ได้ เลยทำ WK ได้แทบทุกข้อ คะแนนเลยพุ่งจนเกือบเต็ม อย่างที่เห็น WK มีความสำคัญกับคะแนนมากๆ)

** การสอบครั้งที่ 3 นี้ ผมกลับมาโฟกัสที่ WK มากขึ้น โดยการศึกษารากศัพท์ต่างๆทั้งหมด เพื่อที่ถึงแม้ว่าผมจะแปลไม่ออก ผมก็ยังสามารถเดาได้ 555++++

ต้องบอกเลยว่าข้อสอบชุดที่ผมได้รอบที่ 3 นี้เป็นข้อสอบที่ยากมากๆ ยากมากกว่า 2 ชุดก่อนเยอะ ทั้งเลข ทั้งภาษาอังกฤษยากหมด ภาษาอังกฤษมีแต่คำยาวๆ ที่ทำให้ผมสามารถเดาได้ รวมถึงเลขที่ยากจนหัวผมแทบระเบิด ผมนั่งทำข้อสอบไป ผมก็นั่งคิดไป ว่าจบละชีวิตกู ข้อสอบยากขนาดนี้ กูไม่ผ่านละ เผลอๆได้คะแนนต่ำกว่า 40 ด้วยซ้ำ โดยที่ผมลืมนึกไปว่า ที่ข้อสอบมันยากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มทำไม่ได้ ก็เพราะว่าผมทำได้ เพราะข้อสอบมันยาก คะแนนที่ได้จากการทำข้อสอบได้เลยสูงขึ้นไปด้วย

หลังจากสอบเสร็จ สิ่งแรกที่ผมทำคือ เดินไปเข้าห้องน้ำครับ เข้าไปนั่งทำใจ คือการสอบเนี่ย สอบเสร็จเราจะได้ผลสอบปริ้นออกมาเลยทันที โดยผู้คุมสอบจะแม็กปิดเอาไว้ให้เราไปลุ้นเอา พอผมเข้าห้องน้ำ ผมก็ไม่กล้าแกะแม็คดู ผมจึงค่อยๆเอาผลสอบส่องกับไฟบนห้องน้ำ เพื่อดูว่าผมได้คะแนนเท่าไหร่ ผมเห็นเลข 69 ผมก็แบบว่า เห้ย กูตาฟาดปล่าววะ ทำไมมันเยอะจัง แต่ปรากฏว่าได้ 69 จริงๆ ผมนี่แม่งดีใจทั้งน้ำตา ดีใจเพราะได้คะแนนตั่ง 69 น้ำตาจะไหลเพราะว่าผมรู้ว่าแม่งเกินไป 23 คะแนน ผมต้องมาสอบใหม่ แถมสอบรอบต่อไปผมจะผ่านรึปล่าวก็ไม่รู้

ผมรีบลงไปเอาโทรศัพท์ติดต่อกับจ่ามาร์คทันทีว่าผมได้ 69 คะแนน จ่ามาร์คบอกผมว่าผมต้องทำ Confirmation Test ให้ผมรออยู่แถวๆนั้นก่อน จ่ามาร์คจะติดต่อทางศูนย์เพื่อให้ผมได้สอบใหม่อีกรอบทันที โดยให้เหตุผลว่า สมองผมยังจดจำสิ่งต่างๆได้ดีอยู่ ควรจะสอบอีกรอบโดยทันที แต่ผมบอกจ่ามาร์คไปว่าผมสอบต่ออีกรอบไม่ไหว ผมนั่งทำข้อสอบมาเกือบ 3 ชั่วโมง จะให้ผมเข้าไปสอบอีกรอบผมทำไม่ไหวแน่นอน ผมเหนื่อยและล้ามากๆ สรุปคือจ่ามาร์คเลยทำเรื่องให้ผมกลับมาสอบใหม่ในวันถัดไป

** ระหว่างทางกลับจาก MEPS ไปที่ Station ผมนี่หลับยาวๆเลยครับ คือเหนื่อยมากๆ

การสอบครั้งที่ 4 ครั้งนี้คือตัวตัดสินอนาคตของผม แต่เมื่อวานผมแทบไม่ได้อ่านทบทวนอะไรเลย เพราะผมเหนื่อยและล้ามาก แล้วผมยังต้องตื่นขับรถไปให้ถึงที่ Station ตอนตี 5 ใครมันจะมีอารมณ์มานั่งอ่าน

ปกติผมจะมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่ผมจดคำศัพท์ จดสูตรคำณวนต่างๆเอาไว้ทั้งหมด ผมจะอ่านจากกระดาษแผ่นนี้เป็นหลักเพราะมันเป็นกระดาษที่ผมสรุปทุกอย่างเอาไว้ใน 2 หน้ากระดาษ ผมก็กะว่าผมจะเอากระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาอ่านทบทวนตอนนั่งรถไป MEPS

รอบนี้จ่ามาร์คเป็นคนขับรถพาผมไปสอบที่ MEPS ผมก็นั่งหน้ากับจ่ามาร์ค หยิบกระดาษขึ้นมาดู จ่ามาร์คก็ชวนผมคุยอยู่นั่นแหละ คุยจนผมไม่ได้อ่านทบทวนก่อนสอบ เพราะพอถึง MEPS ผมไม่สามารถเอาอะไรเข้าไปได้เลย

การสอบ Confirmation Test มีกฎอยู่ว่า ต้องได้คะแนนอยู่ในช่วงระหว่าง +-10 จากการสอบครั้งล่าสุด กล่าวคือ ผมสอบได้ 69 คะแนนในครั้งที่ 3 ครั้งนี้ผมต้องสอบให้ได้คะแนนระหว่าง 59-79 คะแนน ทั้งๆที่เกณผ่านมันแค่ 50 คะแนน บอกเลย โคตรซวย เพราะผมได้ 52 ทั้งๆที่ควรจะผ่าน เลยกลายเป็นไม่ผ่านไปซะอย่างงั้น

ข้อสอบชุดนี้ที่ผมได้ เป็นข้อสอบที่ง่ายมากๆ ง่ายจนผมกลัวว่าผมจะได้คะแนนมากกว่า 79 คะแนน ผมทำไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็มันง่ายอะ คำศัพท์ก็มีแต่พวกคำศัพท์เดียวๆ ผมก็ไม่ได้ทันคิดไปว่าข้อสอบที่ง่ายเท่ากับว่าผมอาจจะทำผิด และข้อสอบง่ายก็เท่ากับคะแนนที่น้อยด้วย

การสอบครั้งที่ 4 นี้ผมมั่นใจมากครับ ว่าผมผ่านแน่นอน ผมสอบเสร็จ ผมเดินเอากระดาษที่ยังแม็กไว้อยู่ไปให้จ่ามาร์ค แล้วบอกจ่ามาร์คว่า คุณควรจะได้เป็นคนที่เห็นคะแนนนี้คนแรก แล้วผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายใจ เพราะผมมั่นใจว่าผมผ่านแน่ๆ 555+++++

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำครับ เห็นจ่ามาร์คนั่งเอามือกุมหัวด้วยความผิดหวัง แล้วบอกว่าผมไม่ผ่าน ผมรีบหยิบกระดาษขึ้นมาเห็นตัวเลข 52 เชื่อไหม ผมนี่แม่งทำอะไรไม่ถูกเลย ถึงกับสบถขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “เหี้ยอะไรวะเนี่ย นี่คือโลกความเป็นจริงใช่ไหม” วินาทีนั้นผมรู้ตัวได้โดยทันทีว่า ความฝันของผมกับอาชีพทหารนี้มันได้จบลงแล้ว จบลงที่ผมได้ 69 และ 52 นี่แหละ ถ้าผมได้ 52 หรือ 69 ตั่งแต่ครั้งแรกที่ผมสอบ ผมคงผ่านไปแล้ว

(ก่อนหน้าที่จะไปสอบรอบที่ 4 พี่สาวแฟนผมฝันว่าผมสอบได้คะแนน 52 คะแนน แล้วพี่สาวแฟนก็เล่าให้แฟนฟังว่าผมสอบได้ 52 คะแนน ผมโทรหาแฟนแต่ไม่ได้บอกว่าผมสอบได้เท่าไหร่ ผมให้เค้าเดา เค้าก็บอกผมว่า 52 คะแนนตามที่พี่สาวเค้าฝัน ผมก็ตกใจว่ารู้ได้ยังไง แฟนถึงบอกว่าพี่สาวฝันเมื่อคืนแล้วโทรมาบอก)

ระหว่างขับรถออกมาจ่ามาร์คก็ถามถึงเรื่องการสอบ ผมก็บอกจ่ามาร์คว่าผมได้บอกคนคุมสอบแล้วว่าผมมาสอบ Confirmation Test และเค้าก็รู้ ซึ่งผมควรจะได้สอบข้อสอบอีกชุดหนึ่งที่มีแค่ 4 วิชา(มีแนวโน้มว่าเป็นข้อสอบที่ง่ายกว่า) ไม่ใช่ข้อสอบชุดจริง จ่ามาร์คเมื่อรู้ว่าผมได้ทำข้อสอบชุดจริง รีบขับรถกลับไปที่ MEPS เพื่อไปถามว่าทำไมผมถึงได้ทำข้อสอบชุดเต็ม แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ จ่ามาร์คบอกว่า เพราะกฎงี่เง่าแบบนี้ทำให้กองทัพพลาดโอกาสในการรับคนที่มีศักยภาพ(อย่างผม)เข้าสู่กองทัพ

สุดท้ายแล้ว ประโยคสุดท้ายของจ่ามาร์คที่บอกกับผมหลังจากที่คงเห็นหน้าที่โคตรผิดหวังในชีวิตของผมแบบผมจะร้องไห้แล้วอะ คือ

“Bro..It’s just the end of the day, Not the end of the world.”  ไอน้องชาย มันแค่เป็นวันนี้ที่จบไป ไม่ใช้จุดจบของโลกใบนี้สักหน่อย

** ถึงจุดนี้ผมต้องรอ 6 อีกเดือนเพื่อจะสอบ ASVAB ใหม่ แต่โปรแกรมถูกหยุดลงพอดีหลังจากผมสอบเสร็จไปไม่นาน หยุดจนถึงทุกวันนี้ และไม่มีแนวโน้มที่จะเปิดขึ้นใหม่เร็วๆนี้

 

 

 

 

เมื่อผมสมัครเป็นทหารอเมริกัน : Ep 4 ขั้นตอนการตรวจร่างกาย

เนื่องจากผู้สมัครมาจากหลากหลายพื้นที่ ทางกองทัพจึงเช่าโรงแรมเพื่อให้ผู้สมัครไปเข้าพักนอนหลับในคืนก่อนวันตรวจ จนถึงตอนเช้าราวๆตี 5 จะมีรถบัสมารับไปที่ MEPS(Military Entrance Processing Station) เพื่อเริ่มขั้นตอนในการตรวจร่างกายต่างๆ

ของผมถูกนัดตรวจร่างกายวันถัดมาหลังจากสอบ ASVAB รอบที่ 2 ก็คือสอบเสร็จปุ๊บ ก็มีรถมารับผมไปพักที่โรงแรมทันที ถ้าผมจำไม่ผิดโรงแรมที่ทางกองทัพจัดให้เป็นโรงแรมอย่างดี อยู่ในเครือ Sheraton ห้องพักอย่างดี มีเตียงใหญ่ 2 เตียง นอน 2 คนต่อหนึ่งห้อง ห้ามออกไปนอกโรงแรม หลัง 4 ทุ่มห้ามออกนอกห้องนอน ต้องตื่นตี 4 เพื่อลงไปกินอาหารเช้า แล้วรอรถบัสมารับไปที่ MEPS ตอนตี 4.30-5.00

ขั้นตอนการตรวจร่างกายต่างๆ

1. อย่างแรกเลยคือการตรวจฉี่ครับ เพื่อตรวจดูว่าเรามีสารเสพติดหรือเป็นโรคอะไรรึปล่าว ในขั้นตอนนี้ผมต่อแถวอยู่รวมๆกับเด็กอเมริกัน 4-5 คน เข้าไปในห้องๆหนึ่ง เป็นห้องเพื่อเข้าไปฉี่โดยเฉพาะ ภายในห้องจะมีโถเรียงกัน 5 โถเหมือนห้องน้ำชาย มีช่องเล็กๆที่กำแพงสำหรับเจ้าหน้าที่คอยรับฉี่ของเราไป จะมีทหารคนหนึ่งคอยออกคำสั่งว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาก พวกเรา 5 คนถูกสั่งให้ยืนหันหน้าตรงเข้าหาโถ หนึ่งคนต่อหนึ่งโถ > ถกกางเกง+กางเกงในลงไปกองที่ข้อเท้า > ดึงเสื้อขึ้น > หยิบถ้วยที่อยู่ข้างหน้า > ฉี่ลงไปในถ้วย > ปิดฝาถ้วย > ถือถ้วยไว้ข้างหน้า > หันขวา > ต่อแถวกันมายื่นถ้วยฉี่ที่ช่องเล็กๆข้างกำแพง มีเจ้าหน้าที่คอยบันทึกว่าฉี่ของใครเป็นของใคร

** ขั้นตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ ผมโดนทหารว่านิดหน่อยว่าทำไมไม่ทำตามคำสั่งตามที่เค้าสั่ง เพราะตอนแรกผมถกลงแค่ถึงเข่า

2. การตรวจวัดสายตา/วัดว่าตาเรามีความผิดปกติในการมองเห็นสีหรือไม่ ก็เป็นการตรวจวัดสายตาทั่วๆไปครับ ปัญหาคือเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจวัดมีลักษณะเป็นผู้ชายมีอายุเหมือน ป้า ม้า อรนภา น่าจะเป็นคนฟิลิปปิน แล้วแกจะดูเหวี่ยงๆหน่อย พอถึงคิวผม แกก็เรียกผมเข้าไปคุย ประโยคแรกคือ

เจ้าหน้าที่ : @*(!#&_)

ผม : ขอโทษครับ พูดว่าอะไรนะ

เจ้าหน้าที่ : #$)(@*$)#

ผมเริ่มทำหน้าเอ๋อๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ยังไม่ทันจะตอบอะไรเจ้าหน้าที่หันไปคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคน

เจ้าหน้าที่ : ไอคนนี้มันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หวะ ฟังไม่รู้เรื่อง

เจ้าหน้าที่อีกคนไม่ได้ตอบอะไร แค่พยักหน้า

ส่วนผมในใจคือ ชิบหายละกู อ่านเจอมาว่ามีผู้สมัครที่พูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับหมอไม่รู้เรื่อง จนหมอบอกว่าให้ไปทำข้อสอบภาษาอังกฤษก่อน ถ้าผ่านถึงจะทำเรื่องต่อให้ ผมจึงรีบพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า

ผม : ฉันขอโทษนะ ภาษาอังกฤษฉันไม่ดี แต่ฉันจะทำมันให้ดีที่สุด

ได้ผลครับ เจ้าหน้าที่ดูอารมณ์เย็นขึ้น ไม่เกรี้ยวกราดเหมือนตอนแรก พร้อมกับพูดช้าๆกับว่า

เจ้าหน้าที่ : ฉันถามเธอว่า เธอใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนไหม แค่เนี่ย แค่ตอบ YES หรือ NO

** โอ้แม่เจ้าา คำถามแค่เนี้ย แต่พูดเร็วยังกับแรปเปอร์ กะเหรี่ยงอย่างผมจะฟังรู้เรื่องได้ไง

หลังจากตรงนี้เจ้าหน้าที่่ท่านนี้ใจเย็นกับผมมากๆทุกขั้นตอน เห็นได้ชัดว่าเค้าฝืนที่จะพูดช้าๆชัดๆเพื่อให้ผมเข้าใจจนจบกระบวนการการตรวจตา

3. ตรวจการได้ยินเสียงของหู การตรวจหูผมต้องเข้าไปในตู้เล็กๆ แล้วใส่หูฟังแบบครอบหู ฟังเสียง “ปิ้บ” มันจะมีแท่งให้กด พอเราได้ยินเสียง ปิ้บ 1 ครั้ง เราก็กดปุ่มสีแดงบนแท่ง 1 ครั้ง ได้ยิน 2 ปิ้บ กด ปุ่ม 2 ครั้ง เสียงมันจะมาปนๆกันไป บางทีก็มาหลายปิ้บติดต่อกัน บางทีก็เงียบ บางทีก็เสียงดัง บางทีก็เบามาก แต่ต้องกดทุกครั้งที่ได้ยิน พอผมฟังเสียงปิ้บๆ พวกนี้ไปเรื่อยๆ กับความเงียบที่เงียบมากๆรอฟังแต่เสียงปี้บอย่างเดียว ในหัวผมจะเริ่มคิดละ ว่าไอเสี้ยงปิ้บเบาๆที่ได้ยิน มันปิ้บจริงๆหรือเสียงมันค้างอยู่ในหัววะ 555+++ เริ่มสับสน จนไม่รู้ว่ากดถูกหรือกดผิด

พอเสร็จแล้วทหารเค้าจะจดค่าที่ได้จากเครื่องใส่ลงไปในกระดาษของเรา ซึ่งตอนออกมาจากห้องผมก็เห็นคนอื่นๆเค้าคุยกันว่าได้ค่าเท่าไหร่ ผมเลยไปคุยด้วย ปรากฎว่าค่าของผมแปลกกว่าเพื่อนๆ มันมีอะไรผิดปกติแน่นอน ไม่เครื่องพังก็หูผมนี่แหละพัง

จนสุดท้ายแล้วผมต้องเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็เห็นค่าที่เครื่องคำณวนออกมาให้เกี่ยวกับการรับฟังเสียง หมอบอกกับผมว่า หูผมน่าจะปกติดี แต่ผมน่าจะเข้าใจวิธีการต่างๆผิดรึปล่าว ค่าที่ออกมามันไม่น่าจะถูกต้อง ให้ผมกลับไปคุยกับทหารเพื่อทำการตรวจวัดการได้ยินเสียงอีกที

ผมไปคุยกับทหาร ทหารถามผมว่าเมื่อกี้ผมทำการทดสอบกับตู้ไหน ผมก็บอกว่าตู้เลขที่ 3 ทหารจึงบอกว่าตู้ที่ 3 มันเพี้ยน ค่าที่ได้รับออกมามันเลยผิด ให้ผมย้ายไปทำตู้อื่นแทน สุดท้ายแล้วก็ผ่านตรงจุดนี้ไปได้ด้วยดี สรุปคือตู้มันเพี้ยนครับ

4. ตรวจร่างกายกับหมอ ในห้องตรวจจะมีแค่ผมกับหมอสองคนเท่านั้น ผมถูกหมอสั่งให้แก้ผ้าออกทั้งหมด แล้วเริ่มตรวจตั่งแต่ช่องปาก รูหู(ถ้ามี Ear wax จะถูกส่งไปให้ทหารฉีดน้ำใส่หูให้ Ear wax หลุดออก) รวมไปถึงการตรวจจุดสงวนต่างๆของร่างกาย ผมถูกหมอสั่งให้หันหลัง ก้มลง หมอแหวกก้นดูว่าเป็นโรคอะไรไหม รวมถึงจับอวัยวะเพศ/อันทะ เอามือมาเสียบระหว่างง่ามขากับอวัยวะเพศแล้วสั่งให้ไอ และตรวจอื่นๆทั่วๆไป

ถามว่าอายไหม อายมาก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาถูกตรวจอะไรแบบนี้ แต่มันคือขั้นตอนกระบวนการของเค้า ผมรู้สึกสงสารหมอมากกว่าที่ในทุกๆวันหมอต้องมาแหวกก้นผู้สมัครดูไม่รู้ตั่งกี่ก้น ไม่รู้ว่าในแต่ละวันหมอนอนหลับฝันว่ายังไง 555+++++

5. ตรวจทางกายภาพ การตรวจกายภาพจะตรวจทีละหลายๆคน ทุกคนถูกสั่งให้แก้ผ้าเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว วัดส่วนสูงน้ำหนัก ทำท่ากายบริหารต่างๆ รวมถึงตรวจร่างกายภายนอกอีกรอบหนึ่ง ในขั้นตอนนี้มีหมอไม่ต่ำกว่า 4 คน เดินตรวจผู้สมัครทุกคน ยากสุดของขั้นตอนนี้คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “DUCK WALK” หรือการเดินเหมือนเป็ด เป็นลักษณะการเดินแบบนั่งยองๆเดิน เดินไปเดินกลับ ห้ามล้ม ซึ่งมันก็ยากระดับหนึ่ง เพราะมันเมื่อย

** ขั้นตอนต่างๆของการตรวจร่างกายหลักๆก็มีแค่ 5 ขั้นตอนนี้แหละครับ ตามหลักแล้วถ้าผมสอบ ASVAB ผ่าน หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ ผมจะสามารถเลือกอาชีพที่ผมต้องการจะเป็นตามสายงานของทหาร รวมถึงเข้าไปสาบานตนรับใช้ชาติในห้อง แต่ผมสอบไม่ผ่าน ทุกอย่างเลยจบอยู่เพียงแค่นี้

คลิป video ทำให้มองเห็นภาพต่างๆได้เข้าใจมากขึ้น น่าจะเป็น MEPS เดี่ยวกับที่ผมไปสอบ เพราะผมจำหน้าลุงหน้าห้องสอบในคลิปได้ คลิกเพื่อรับชมวีดีโอ

Start typing and press Enter to search

Shopping Cart

ไม่มีสินค้าในตะกร้า